การประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 7/2568


วันที่ 17 กันยายน 2568 ศาสตราจารย์บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ประธานกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ประธาน กพฐ.) เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 7/2568 ซึ่งมีว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) พร้อมด้วย นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. เข้าร่วมการ โดยมีคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) และผู้บริหารสำนักต่างๆ ของ สพฐ. เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และร่วมประชุมออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Zoom Meeting)

.

โดยก่อนเริ่มการประชุม ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มาพบปะกับคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อมอบนโยบายในการปฏิบัติงาน และเน้นย้ำว่าไม่นำการเมืองเข้ามาแทรกแซงในการศึกษา เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศให้เจริญก้าวหน้าเทียบเท่าระดับสากลได้อย่างแท้จริง

.

จากนั้น ในที่ประชุมได้มีการหารือข้อราชการและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานด้านการศึกษาของ สพฐ. โดยมีประเด็นหารือที่น่าสนใจ อาทิ รายงานความก้าวหน้าการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2568 สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3) พุทธศักราช 2568, ประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่อง แนวทางการนำผลการประเมินตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นสากล (Common European Framework of Reference for Languages : CEFR) ไปใช้ในสถานศึกษา และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษา โอกาส และการลดความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น

ข่าวโดย : ตรีญาภรณ์ แท่นชัยกุล

ที่มา >>>เลขาธิการ กพฐ. ร่วมประชุมคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ 7/2568 – สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน<<<

การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 34/2568

สพฐ. ยืนยัน งบเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนถูกต้อง โปร่งใส 118 เขตพื้นที่ฯ เลือกได้อิสระตามบริบท

วันที่ 16 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 34/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมี นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting
.
ภายหลังการประชุม ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ. ได้มอบหมาย นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. แถลงผลการประชุมในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจ เรื่องแรก คือ การติดตามความก้าวหน้าในการเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนการสอนสำหรับผู้เรียน ในโครงการ Anywhere Anytime ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์โน้ตบุ๊ก โครมบุ๊ก หรือแท็บเล็ต ซึ่งเราได้ติดตามความก้าวหน้าทุกสัปดาห์ โดยสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 118 เขต ล่าสุดมีสำนักงานเขตพื้นที่ฯ 3 แห่งที่ได้ดำเนินการลงนามในสัญญาเรียบร้อยแล้ว ได้แก่ สพป.เพชรบูรณ์ เขต 3, สพป.นครสวรรค์ เขต 2, สพป.ศรีสะเกษ เขต 1 และเหลืออีก 76 เขตที่ยังอยู่ในระหว่างร่างขอบเขตงาน (TOR) ในวันนี้เราก็ได้มีการประชุมชี้แจงเพื่อติดตามเร่งรัดในการดำเนินการให้แล้วเสร็จทันปีงบประมาณ 2568 หรือภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้กระบวนการเช่าใช้อุปกรณ์เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้เรียนทั่วประเทศ โดยยังคงรักษาวินัยทางการเงินการคลังอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ
.
“งบสำหรับเช่าใช้อุปกรณ์ของโครงการ Anywhere Anytime เป็นงบประมาณที่มีความชัดเจน และได้แจ้งให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาไปดำเนินการเช่าตาม TOR ของแต่ละเขตพื้นที่ฯ โดยไม่ได้มีการกำหนดว่าจะต้องเช่าซื้อจากบริษัทใด โดยให้เขตพื้นที่ฯ ดำเนินการหาผู้รับจ้างได้ตามบริบทของแต่ละพื้นที่และไม่มีการกำหนดคุณสมบัติหรือสเปกเครื่องแบบเฉพาะเจาะจง เพราะถือว่าเทคโนโลยีเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากเรากำหนดไว้ตอนตั้งของบเมื่อถึงตอนจะจัดซื้อก็อาจล้าสมัยไปแล้ว เพราะฉะนั้นการเช่าซื้อให้เกิดความทันสมัยจะต้องเปิดโอกาสให้กับโรงเรียนและเขตพื้นที่ฯ เลือกผู้รับจ้างได้เอง ดังนั้นขอให้ไม่ต้องกังวลต่อการเช่าซื้อในครั้งนี้ เพราะเป็นงบประมาณถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอให้ดำเนินการตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างอย่างถูกต้องเท่านั้น ส่วนการดำเนินการในปี 2569 ทางสำนักงบประมาณไม่ได้มีการเพิ่มงบประมาณให้กับ สพฐ. ตามที่ได้ขอไปเพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ดังนั้นในปีการศึกษาหน้าจึงยังใช้กับพื้นที่เดิมคือระดับชั้นมัธยมปลาย ม.4-6 ในกลุ่ม 118 เขตพื้นที่ฯเดียวกันกับในปีนี้ครับ” รองเลขาธิการ กพฐ. กล่าว
.
และอีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ สพฐ. ได้ประกาศแนวทางการนำผลการประเมินตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นสากล (Common European Framework of Reference for Languages : CEFR) ไปใช้ในสถานศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศ เรื่อง นโยบายการปฏิรูปการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ พ.ศ. 2557 ที่กำหนดให้ใช้กรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นสากล (CEFR) เป็นกรอบความคิดหลักในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย ทั้งในการออกแบบหลักสูตร การพัฒนาการเรียนการสอน การทดสอบ การวัดผล การพัฒนาครู รวมถึงการกำหนดเป้าหมายการเรียนรู้ โดย สพฐ. ได้ประกาศแนวทางเพื่อนำไปใช้ในการวัดและประเมินผล และพัฒนาการเรียนรู้ ในสถานศึกษาต่างๆ ได้แก่ สถานศึกษาที่ใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551, สถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา, สถานศึกษาที่ใช้หลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น (ชั้น ป.1-3) พ.ศ. 2568 และโรงเรียนหรือสถานศึกษานำร่องที่ใช้ระบบธนาคารหน่วยกิต ซึ่งจะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของเด็กไทยสู่มาตรฐานสากลต่อไป

ข่าวโดย : สุชัญญา ชมเทศ

ที่มา >>>สพฐ. ยืนยัน งบเช่าใช้อุปกรณ์การเรียนถูกต้อง โปร่งใส 118 เขตพื้นที่ฯ เลือกได้อิสระตามบริบท – สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน<<<

การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 33/2568


สพฐ. กำชับเขตพื้นที่รับมือน้ำท่วม–ดูแลโรงเรียนชายแดน เน้นความปลอดภัยและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

.

วันที่ 9 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 33/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมี นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting 

.

สำหรับวันนี้ในที่ประชุมได้หารือหลายประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ สถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงเรียนในสังกัด สพฐ. โดยได้เน้นย้ำผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ให้ช่วยกันดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งสำรวจอาคารสถานที่ภายในโรงเรียน และอุปกรณ์การเรียนต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อทำการปรับปรุงซ่อมแซมต่อไป ส่วนโรงเรียนที่ยังไม่ได้รับผลกระทบ ให้ทำการเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ ตั้งแต่การเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อาจเสียหายขึ้นที่สูง ดูแลอุปกรณ์-ระบบไฟฟ้าภายในโรงเรียน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ พร้อมประสานกับหน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)จังหวัด หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่ และติดตามประกาศของทางกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ หากเกิดเหตุจำเป็น เช่น ถนนขาด น้ำท่วม โรงเรียนได้รับความเสียหาย ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ ผู้บริหารโรงเรียนสามารถสั่งปิดโรงเรียนได้ทันที โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนและครูเป็นสำคัญ 

.

สำหรับสถานการณ์โรงเรียนในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชานั้น ตามที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงห่วงใยราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ดังกล่าว และได้พระราชทานความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเด็กๆ นักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ใกล้พื้นที่ชายแดน ซึ่งทาง สพฐ. ได้กำชับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาในการติดตามดูแลการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียน ให้นักเรียนเข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานให้พระองค์ทรงทราบอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ นับเป็นขวัญและกำลังใจแก่ราษฎรและผู้ปฏิบัติงานทุกคนอย่างหาที่สุดมิได้

.

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้รับรายงาน เรื่องการดำเนินโครงการอัจฉริยะเกษตรประณีตในโรงเรียน (Science Technology Innovation (STI): Smart Intensive Farming) ที่เพิ่มศักยภาพของโรงเรียน โดยพัฒนาการจัดการเรียนรู้ที่บูรณาการ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี ร่วมกับกระบวนการทางเกษตรกรรมเข้าด้วยกัน โดยประสานความร่วมมือกับมูลนิธินโยบายสาธารณะไทย และได้รับทุนพัฒนาโครงการอัจฉริยะเกษตรประณีต ปีการศึกษา 2569 จํานวน 50 โรงเรียน โรงเรียนละ 1 แสนบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5 ล้านบาท ล่าสุดได้ดำเนินการไปแล้วจํานวน 6 รุ่น รวมทั้งสิ้น 346 โรงเรียน แบ่งเป็น โรงเรียนสังกัด สพป. จํานวน 237 แห่ง และสังกัด สพม. จํานวน 109 แห่ง โดยโรงเรียนจัดการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมหรือในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ส่งเสริมให้นักเรียน สามารถสร้างนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อภาคการเกษตร และนำผลผลิตที่ได้มาเพิ่มมูลค่า และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น สลัดผัก เบเกอรี่ กาแฟ จําหน่ายผ่านตลาดในชุมชน ช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้กับนักเรียนและชุมชน เป็นต้น




ข่าวโดย : ยศุเนตร ปานธรรม

ที่มา >>>OBEC EXECUTIVE NEWs – สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน<<<

การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 32/2568

 

สพฐ. ขับเคลื่อนโรงเรียนสีเขียว ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง พร้อมปั้นครู-นักเรียน ใช้โดรนเพื่อการศึกษา

.

วันที่ 2 กันยายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) มอบหมายให้ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 32/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมี นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting 

.

สำหรับวันนี้ในที่ประชุมได้หารือหลายประเด็นที่น่าสนใจ อาทิ การส่งเสริม สนับสนุนสิ่งแวดล้อมศึกษาในโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง โดย สพฐ. ได้ดำเนินการโครงการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสีเขียวและมาตรฐานโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของ สพฐ. กับ องค์การยูนิเซฟ (UNICEF Thailand) ในระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเดือนตุลาคม 2568 มีกลุ่มเป้าหมาย คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยมีการอบรมวิทยากรแกนนำโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา ส่วนกลาง (Master trainer) จำนวน 80 คน จาก 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ และขยายผลอบรมวิทยากรแกนนำฯ ระดับภูมิภาค จาก 245 เขตพื้นที่ ใน 4 ภูมิภาค ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 222 คน เพื่อให้วิทยากรแกนนำได้รับความรู้ ความเข้าใจ และเกิดจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การขับเคลื่อนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สามารถบูรณาการเกณฑ์มาตรฐานโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษากับเกณฑ์ของหน่วยงานภาคีเครือข่ายได้อย่างเหมาะสม รวมถึงมีบทบาทในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น และเกิดเครือข่ายสิ่งแวดล้อมศึกษาในระดับพื้นที่

.

นอกจากนี้ ยังมีการอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาครูแกนนำโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (EESD) ใน 4 ภูมิภาค ให้ครูได้แผนการจัดการเรียนรู้ที่จะขยายผลสู่ท้องถิ่นตามบริบทของพื้นที่นำไปสู่การปฏิบัติ โดยมีผู้บริหารโรงเรียนและคุณครู รวม 497 คน เข้ารับการอบรม มีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม และมีพฤติกรรมที่เอื้อต่อการอนุรักษ์ โดยเกิดรูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ครูสามารถจัดการเรียนรู้โดยนำปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่บูรณาการในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถนำไปปรับใช้และพัฒนาต่อยอดในโรงเรียน ปลูกฝังให้ผู้เรียนและบุคลากรทางการศึกษามีเจตคติที่ดี เกิดจิตสำนึกและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม เป็น “พลเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อม” (Environmental Citizenship) รวมถึงโรงเรียนมีแนวทางการพัฒนาโรงเรียนทั้งระบบตามคู่มือมาตรฐานโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และเกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือในการทำงานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับเด็กและเยาวชนกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ส่วนกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไป จะมีการพัฒนาระบบฐานข้อมูล EESD ACADEMY แพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการจัดเวทีถอดบทเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และจัดงาน Symposium ด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา 4 ภูมิภาค เป็นต้น

.

อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ การอบรมวิทยากรแกนนำการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน (Drone) เพื่อการศึกษา ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 - 31 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มีครูและบุคลากรทางการศึกษาในศูนย์พัฒนาศักยภาพบุคคลเพื่อความเป็นเลิศ (HCEC) ทั้ง 57 ศูนย์ รวมจำนวน 57 คน เข้ารับการอบรม เป็นการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาและผู้เรียน ให้สามารถใช้อากาศยานไร้คนขับหรือโดรน (Drone) เพื่อการศึกษา โดยอบรมความรู้พื้นฐานและการควบคุมบังคับการใช้โดรน (Drone) ตามมาตรฐานสากล ประเภทรูปแบบการใช้งาน การควบคุม การสั่งการ และเคล็ดลับการใช้โดรน (Drone) รวมถึงรู้จักส่วนประกอบ การซ่อมบำรุง การรักษาโดรน ความปลอดภัยการบิน การฝึกการบินการถ่ายภาพและวิดีโอ การสร้างมุมของภาพ การจัดองค์ประกอบและฝึกเทคนิคการบินโดรน (Drone) ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ ใช้ในการเรียนการสอน การวิจัยและนวัตกรรมการศึกษา เพื่อการพัฒนาอาชีพในอนาคตได้อีกด้วย






    

ข่าวโดย : ยศุเนตร ปานธรรม

ที่มา >>>OBEC EXECUTIVE NEWs – สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน<<<

การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 31/2568


 สพฐ. เดินหน้าขยาย ‘นมโรงเรียน’ 365 วัน เสริมโภชนาการเด็กไทย-หนุนเกษตรกรโคนม พร้อมเน้นย้ำสถานศึกษายังคงเฝ้าระวังพายุ ‘คาจิกิ’ แม้อ่อนกำลังลงแล้ว

.

วันที่ 26 สิงหาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 31/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมี นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. นายวิษณุ ทรัพย์สมบัติ ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานการศึกษา รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting 

.

ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมได้หารือหลายประเด็นที่สำคัญ อาทิ การติดตามสถานการณ์พายุ “คาจิกิ” ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา โดย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) มีความห่วงใยนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา และสถานศึกษา ในหลายพื้นที่ของประเทศที่อาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือตอนบน ซึ่งตอนนี้เราได้ติดตามกันอย่างใกล้ชิด โดยได้เน้นย้ำผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ให้ช่วยกันเฝ้าระวังและเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายสิ่งของที่อาจน้ำท่วมและเสียหายขึ้นที่สูง ดูแลอุปกรณ์-ระบบไฟฟ้าภายในโรงเรียน รวมถึงระบบความปลอดภัยต่างๆ และประสานกับหน่วยงานข้างเคียง อาทิ หน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)จังหวัด หรือฝ่ายปกครองในพื้นที่ อีกสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ คือ หากเกิดเหตุจำเป็น เช่น ถนนขาด น้ำท่วม โรงเรียนได้รับความเสียหาย ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนได้ ผู้บริหารโรงเรียนสามารถสั่งปิดโรงเรียนได้ทันที โดยเน้นเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนและครูเป็นสำคัญ จากนั้นให้ประสานกับทางสำนักงานเขตพื้นที่ฯ ปภ. ฝ่ายพลเรือนหรือหน่วยทหารเข้าไปดูแลให้การช่วยเหลือโดยเร็วต่อไป

.

“อีกเรื่องที่สำคัญ คือ การแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการของเด็กปฐมวัยและเด็กวัยเรียน ซึ่งจากการจัดทำข้อมูลสุขภาพนักเรียน พบว่า นักเรียนที่มีภาวะส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ (เตี้ย) ปี 2567 มีจำนวน 543,253 คน และปี 2568 มีจำนวน 403,987 คน เท่ากับลดลง 139,266 คน คิดเป็นร้อยละ 25.63 แสดงให้เห็นว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งเสริมให้นักเรียนได้รับอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ที่มีคุณภาพอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง ดังนั้น หากเพิ่มระยะเวลาในการจัดอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากเดิม 260 วัน เป็น 365 วัน จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในเด็กนักเรียน ให้เจริญเติบโต สูงดีสมส่วนได้ สพฐ. จึงมีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง การเพิ่มระยะเวลาในการจัดอาหารเสริม (นม) โรงเรียน จากเดิม 260 วัน เป็น 365 วัน และ รมว.ศธ. ได้ลงนามหนังสือดังกล่าวถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 จากนั้นเมื่อ รมว.เกษตร ลงนามเห็นชอบ เราจะทำเรื่องเข้าเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งเรื่องนี้จะได้ประโยชน์ 2 ฝ่าย คือให้เด็กได้ดื่มนมทุกวัน เพื่อทำให้ภาวะทางโภชนาการของเด็กดีขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเติบโต หากได้กินนมทุกวันสุขภาพก็จะดีขึ้น  แข็งแรงสมวัย เรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ และยังได้ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่เลี้ยงโคนมในประเทศด้วย" เลขาธิการ กพฐ. กล่าว




ข่าวโดย : ยศุเนตร ปานธรรม

ที่มา >>>สพฐ. ยินดีผู้บริหาร ศธ. ชุดใหม่ นำทัพยกระดับการศึกษาสู่สากล เน้นย้ำความปลอดภัยโรงเรียนแนวชายแดน พร้อมใช้ระบบสำนักงานดิจิทัลเต็มรูปแบบ 8 ก.ค.นี้ – OBEC<<<