การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 23/2568

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 23/2568 โดยเน้นย้ำข้อสั่งการตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. เพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. ได้แก่ นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ในที่ประชุมวันนี้ได้หารือเรื่องการดูแลนักเรียนและครูในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา โดยศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ได้สำรวจข้อมูลโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่อยู่ติดชายแดนในระยะไม่เกิน 50 กิโลเมตร พบว่ามีเขตพื้นที่จำนวน 16 แห่ง โรงเรียนรวม 416 แห่ง มีการจำแนกกลุ่มตามความเสี่ยง เช่น สีแดง คือกลุ่มที่อยู่ติดแนวตะเข็บชายแดน ในจำนวนนี้มีหลุมหลบภัย 160 แห่ง ส่วนโรงเรียนที่ไม่มีก็ได้เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสร้างหลุมหลบภัยที่ปลอดภัยและแข็งแรงให้ ที่สำคัญคือทุกโรงเรียนได้มีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุครบแล้ว ตามแนวปฏิบัติที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ มีการวางแผนการอพยพเคลื่อนย้ายเด็กให้รวดเร็วที่สุด เมื่อเกิดเหตุต้องมีสัญญาณเตือน มีเสบียงอาหาร ยา อุปกรณ์ที่จำเป็น และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นต้องเคลื่อนย้ายออกจากหลุมหลบภัยตามลำดับอย่างไร โดยเฉพาะกลุ่มสีแดงให้มีการซักซ้อมอย่างเข้มข้น เพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียนและครูทุกคน

เรื่องต่อมาคือ การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งปีนี้พบว่าจำนวนนักเรียนของ สพฐ. มีจำนวนลดลงค่อนข้างมากเกือบแสนคน มีแนวโน้มว่าโรงเรียนขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น จึงต้องรีบวางแผนรับมือให้พร้อมในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมนี้ จะมีการประชุมร่วมกับโรงเรียน เขตพื้นที่ และเขตตรวจราชการในการออกแบบการบริหารที่จะดูแลช่วยเหลือโรงเรียนขนาดเล็กเหล่านี้ รวมถึงประเด็นต่าง ๆ ที่กำลังดำเนินการเพื่อเตรียมนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนใหม่ได้รับทราบและช่วยดูแล เพื่อเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระบบ รวมถึงการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะภาระด้านงานธุรการและพัสดุ ซึ่งจะต้องมีการหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกที่เป็นรูปธรรม เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์สูญเสียเช่นกรณีครูมัทอีก ผมเชื่อว่าหากครูได้ทำหน้าที่สอนอย่างเต็มที่เต็มเวลา ก็จะส่งผลให้คุณภาพการศึกษาเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน และมั่นใจว่าไม่ว่ารัฐมนตรีว่าการฯ จะเป็นใคร ท่านก็ต้องให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพการศึกษา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของพวกเราทุกคน

สำหรับความคืบหน้าการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีครูมัท จากเดิมกำหนดให้แล้วเสร็จใน 7 วัน แต่ได้ขอขยายระยะเวลาเพิ่มเติม เนื่องจากมีเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่มีรายละเอียดจำนวนมาก ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ รวมถึงได้เชิญหน่วยงานภายนอก เช่น ป.ป.ช. จังหวัดหรือ สตง. จังหวัด เข้ามาร่วมตรวจสอบด้วย เพื่อให้การสอบสวนมีความเป็นธรรมและน่าเชื่อถือ ซึ่งผมได้ให้กรอบเวลาไว้ 15 วัน หากมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ส่วนเรื่องความปลอดภัยในสถานศึกษา กรณีที่มีเด็กนักเรียนทำร้ายร่างกายกัน ได้ประสานให้ ผอ.เขตพื้นที่ลงตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันเรามีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวดอยู่แล้ว หากเกิดเหตุก็ต้องรีบดำเนินการแจ้งผู้ปกครอง และลงโทษตามระเบียบ โดยเน้นย้ำว่าโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยสูงสุดสำหรับเด็กนักเรียน

นอกจากนี้ ยังมีกรณีโรงเรียนบ้านคลองเคียน สพป.พังงา ไม่มีอาคารเรียน จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อปีการศึกษา 2567 ได้มีการรื้อถอนอาคาร และนำนักเรียนไปเรียนรวมกับโรงเรียนบ้านคลองใส ต่อมาผู้ปกครองประสงค์นำนักเรียนกลับมาเรียนที่โรงเรียนบ้านคลองเคียน ทางเขตพื้นที่จึงได้ประชุมร่วมกับโรงเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้นำชุมชน เพื่อหาแนวทางแก้ไข และมีมติเสนอของบสร้างอาคารเรียนชั่วคราวให้โรงเรียน ในลักษณะอาคารน็อกดาวน์ ซึ่งดำเนินการแล้วเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2568 ส่วนการของบประมาณก่อสร้างอาคารถาวรนั้น สพป.พังงา จะดำเนินการขอจากงบประมาณประจำปี งบประมาณเหลือจ่าย หรืองบประมาณเร่งด่วน ตามโอกาสและห้วงเวลาที่เหมาะสมต่อไป

“สำหรับประเด็นที่มีผู้มาร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อคลาวด์-ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มการเรียนรู้ นั้น ได้มอบให้สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน (สทร.) ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบตั้งแต่เมื่อวานแล้ว (23 มิ.ย. 2568) โดยโครงการดังกล่าวเป็นมติ ครม. ซึ่งเป็นแผนระยะยาว 5 ปี (ปี 2568–2572) ตามนโยบายเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา Anywhere Anytime ที่มีทั้งหมด 5 โครงการ สพฐ. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลางอย่างเคร่งครัด ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ซึ่งทุกกระบวนการต้องเป็นไปตามกฎหมายและความเห็นของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง ขอให้มั่นใจว่า สพฐ. จะดำเนินการตามระเบียบกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของทางราชการและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียนทุกคน” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ข่าวโดย : ทัตตกร จันทร์โม

ที่มา >>>OBEC – สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน<<<

การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 22/2568


วันที่ 17 มิถุนายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 22/2568 โดยนำข้อสั่งการของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. ได้แก่ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting
.
เลขาธิการ กพฐ. กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของครูผู้รับผิดชอบงานด้านการเงินและพัสดุของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ โดยระบุว่า ได้รายงานเรื่องดังกล่าวต่อ รมว.ศธ. ซึ่งได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมเน้นย้ำให้ สพฐ. เร่งหามาตรการเชิงระบบเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในลักษณะนี้ซ้ำอีก ทั้งนี้ จากข้อความในจดหมายลา พบว่า ภาระงานเอกสารที่มีความซับซ้อน อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความกดดัน โดยเฉพาะในโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่เกิน 60 คน และมีบุคลากรจำกัด แม้ที่ผ่านมา สพฐ. จะได้มอบหมายให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเข้าไปสนับสนุนด้านงานจัดซื้อ การเงิน และพัสดุแล้วก็ตาม แต่ในบางพื้นที่ซึ่งอยู่ห่างไกล โรงเรียนอาจเลือกดำเนินการเองเพื่อความรวดเร็ว ส่งผลให้ภาระตกอยู่กับครูเพียงไม่กี่คน
.
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียในลักษณะเช่นนี้อีก สพฐ. ได้มอบหมายให้สำนักการคลังและสินทรัพย์ ร่วมกับหน่วยตรวจสอบภายใน ทบทวนคู่มือปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน โดยเน้นการวิเคราะห์จุดเสี่ยง ปรับปรุงขั้นตอนที่อาจซ้ำซ้อน และออกแบบระบบใหม่ที่เหมาะสมกับข้อจำกัดของโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนในพื้นที่พิเศษ พร้อมทั้งผลักดันให้มีการใช้เทคโนโลยีบริหารจัดการงานธุรการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เพื่อลดภาระงานเอกสาร และให้ครูสามารถทุ่มเทกับภารกิจหลักคือ “การสอน” ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ ได้สั่งการให้ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง โดยตรวจสอบผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย อาทิ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู เจ้าหน้าที่พัสดุ เจ้าหน้าที่การเงิน และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและสามารถแก้ไขปัญหาในเชิงระบบได้อย่างตรงจุด โดยให้รายงานผลภายใน 7 วัน
.
“เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับปรุงระบบบริหารจัดการงานธุรการของโรงเรียนให้เอื้อต่อการทำงานของครูมากที่สุด ครูไม่ใช่เพียงผู้ปฏิบัติงาน แต่คือหัวใจของระบบการศึกษา เราต้องดูแลครูให้มากเท่ากับที่ครูดูแลเด็ก เพราะกว่าที่เราจะได้ครูดี ๆ สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย สพฐ. จะยกระดับสวัสดิภาพของครูให้เป็นวาระสำคัญ เพื่อให้การศึกษาไทยเดินหน้าไปพร้อมกันทั้งครูและเด็ก ‘เรียนดี มีความสุข’ เกิดขึ้นได้จริงในทุกพื้นที่” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว
.
ในช่วงท้ายของการประชุม เลขาธิการ กพฐ. ยังได้เน้นย้ำถึงการดูแลความปลอดภัยของสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้ง 7 จังหวัด ซึ่งขณะนี้กำลังมีข้อพิพาท “สพฐ. ได้มอบหมายให้ศูนย์บริหารความสุขและความปลอดภัย สพฐ. ลงพื้นที่จริงเพื่อจัดทำแนวทางการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง เช่น การจัดทำหลุมหลบภัยหรือบังเกอร์ที่มั่นคงแข็งแรง พร้อมกำชับให้โรงเรียนมีการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและเส้นทางอพยพอย่างจริงจัง เพื่อให้สามารถปกป้องชีวิตเด็กและครูได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ถึงแม้ไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เราต้องเตรียมความพร้อมเต็มที่ 100% เพื่อให้ความปลอดภัยของครูและนักเรียนในทุกพื้นที่เป็นสิ่งที่รับประกันได้” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ดูภาพเพิ่มเติม:
https://photos.app.goo.gl/MEYWSEj678rzKKMY7


ข่าวโดย : ทัตตกร จันทร์โม

ที่มา >>>สพฐ. เร่งทบทวนระบบงานโรงเรียน หลังเกิดเหตุสูญเสียครู พร้อมกำชับโรงเรียนแนวชายแดน ดูแลความปลอดภัยครู-นักเรียนเต็ม 100% – OBEC<<<


การประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 21/2568

วันที่ 10 มิถุนายน 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เป็นประธานการประชุมผู้บริหาร สพฐ. ครั้งที่ 21/2568 โดยนำข้อสั่งการของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) แจ้งต่อที่ประชุมเพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน และติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานที่ได้สั่งการไปแล้ว โดยมีผู้บริหารระดับสูงของ สพฐ. ได้แก่ นางเกศทิพย์ ศุภวานิช รองเลขาธิการ กพฐ. นายพัฒนะ พัฒนทวีดล รองเลขาธิการ กพฐ. นายธีร์ ภวังคนันท์ รองเลขาธิการ กพฐ. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการ กพฐ. รวมถึงผู้อำนวยการเขตตรวจราชการ ผู้อำนวยการสำนักต่างๆ และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม สพฐ. 1 อาคาร สพฐ. 4 ชั้น 2 กระทรวงศึกษาธิการ และผ่านระบบ Zoom meeting
.
ว่าที่ร้อยตรี ธนุ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมได้หารือประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะการนำข้อสั่งการของพลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. มาขับเคลื่อนลงสู่การปฏิบัติ อาทิ การวิเคราะห์ว่านักเรียนที่ออกจากสังกัดอื่น เช่น โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเอกชน ย้ายเข้ามาเรียนที่ สพฐ. และย้ายออกจาก สพฐ. ไปเรียนสังกัดอื่น มีจำนวนเท่าไร จะได้นำมาเปรียบเทียบเป็นข้อมูลว่าคุณภาพการศึกษา และความเชื่อมั่นของผู้ปกครองที่มีต่อการจัดการศึกษาของเราเป็นอย่างไรบ้าง อีกเรื่องคือการสอบคัดเลือกครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา 38 ค (2) ให้กับโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เนื่องจากมติ ครม. ที่ให้โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณฯ มีตำแหน่งครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา 38 ค (2) จำนวน 432 ตำแหน่ง ให้มาประจำที่โรงเรียน เช่น ครูประจำหอพัก ครูการเงิน ครูพัสดุ นักกายภาพ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ฯลฯ ที่จะมาสนับสนุนครูและบุคลากรของโรงเรียน ให้ครูสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ 100% ส่งผลให้เกิดการพัฒนาการศึกษาที่เข้มแข็ง ตลอดจนการสร้างเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนอื่นๆ ในการยกระดับสู่มาตรฐานสากล โดยได้แก้ไขระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว และจะมีการกำหนดปฏิทินการสอบในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งคาดว่าจะสามารถบรรจุแต่งตั้งได้ทันในการเปิดภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2568 นี้
.
“นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้รายงานผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของสำนักต่างๆ ในรอบ 1 ปี 6 เดือน รวมถึงผลงานของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและเขตตรวจราชการ แบบสุ่มเลือก ซึ่งทุกเขตได้นำเสนอผลงานโดยมีความคืบหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายประการเป็นที่น่าพอใจ รวมถึงเขตพื้นที่ที่มีผลการดำเนินการขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานสากล โดยการใช้ข้อสอบแนวทาง PISA เป็นแบบทดสอบในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแต่ละรายวิชา ฝึกทักษะในการวิเคราะห์ การตีความ การแปลความของข้อมูล และนำมาปฏิบัติได้จริงเป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากเป็นการเตรียมความพร้อมให้โรงเรียนและนักเรียนในการสอบ PISA ที่จะเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้ ยังช่วยสร้างความฉลาดรู้ที่จำเป็นสำหรับนักเรียน ส่งผลให้เด็กและเยาวชนเกิดสมรรถนะ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” นำประเทศชาติสู่การพัฒนาในระดับสากลต่อไป” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว

ข่าวโดย : สุชัญญา ขมเทศ

ที่มา >>>สพฐ. เตรียมเสริมทัพครู รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณฯ ยกระดับการศึกษา-เครือข่ายเข้มแข็ง – OBEC<<<